วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เชื่อหรือไม่…กระบองเพชรสามารถช่วยถนอมสายตาได้



ปัจจุบันการทำงานหลายอย่างต้องใช้คอมพิวเตอร์ บางคนถึงกับนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานานหลายชั่วโมง ผลที่ตามมาคืออาการเมื่อยล้าทางสายตา ไปจนถึงขั้นปวดศีรษะ และอาเจียน หลากหลายวิธีลดความเจ็บปวดจากการใช้คอมพิวเตอร์นานๆ มีผลวิจัยจากต่างประเทศเชื่อว่า ต้นกระบองเพชร หรือตะบองเพชร หรือแคคตัส (cactus) ที่ตั้งหน้าคอมพิวเตอร์ สามารถช่วยลดปัญหารังสีที่แผ่ออกมาได้
นายแพทย์ศักดิ์ชัย  ใช้จิกจา จักษุแพทย์ ผอ.มูลนิธิเทียนฟ้า อธิบายว่ารังสีอัลตร้าไวโอเลต หรือรังสียูวี รังสีเหนือม่วง พบในแสงแดด หลอดไฟ โทรทัศน์ และคอมพิวเตอร์ ซึ่งอย่างหลังคนเราสัมผัสใกล้ชิดมากกว่าอย่างอื่น การใช้คอมพิวเตอร์นานๆก่อให้เกิดปัญหาระคายเคืองเยื่อบุตา เคืองและแสบตา ส่งผลระยะยาวอาจก่อให้เกิดโรคต้อกระจกเร็วกว่าปกติ หรือมีปัญหาประสาทตาเสื่อม (ทีวีไม่ได้ดูรายละเอียดมากเท่าใช้สายตาเพ่งคอมพิวเตอร์ ใช้นานมีปัญหาต่อสายตาทำให้กล้ามเนื้อตาล้า ปวดศีรษะ อาเจียนถึงขั้นหมดสติ ใช้ติดกันนานเป็นภาวะสายตาสั้นเกิดขึ้นชั่วคราว จริงๆไม่ได้สั้น แต่สายตาเปลี่ยนแปลงชั่วคราว รู้สึกว่าสายตาสั้น)
ปัจจุบันคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่มีระบบกรองรังสี แต่เดิมวิธีการลดรังสีและแสงจ้าจากคอมพิวเตอร์ใช้การติดแผ่นกรองแสงรังสี หรือสวมแว่นกันแดดกรองรังสียูวี ซึ่งสามารถลดปริมาณรังสีและความจ้าของแสงสว่างที่แผ่ออกมาได้ในระดับหนึ่ง เท่านั้น การติดหรือไม่ติดแผ่นกรองแสงจึงมีผลแตกต่างกันไม่มาก เพียงแต่การติดแผ่นกรองแสงช่วยให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์เกิดความสบายใจ คลายความกังวล พร้อมกันนั้นช่วยลดแสงจ้า แสงสะท้อน และไฟฟ้าสถิต ทำให้อาการล้าของสายตาลดลง ต่างประเทศมีการวิจัยและทำการทดลองนำกระบองเพชร หรือตะบองเพชร หรือแคคตัส (cactus) ตั้งหน้าคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยลดปัญหาต่างๆอันเกิดจากรังสีที่แผ่ออกมาได้ ในบทความเกี่ยวกับความเจ็บป่วยจากจอคอมพิวเตอร์ของโรเจอร์ (Roger Coghill) ได้อ้างถึงผลวิจัยของสถาบัน Recherches en Geobiologie ของสวิตเซอร์แลนด์และนักวิจัยในอเมริกา ลดรังสีที่ฉายออกมาโดยทดลองนำต้นตะบองเพชรความสูง 40 เซนติเมตรไปตั้งไว้หน้าคอมพิวเตอร์ของลูกจ้างผู้เคยได้รับความเจ็บปวดทุกข์ ทรมานจากอาการปวดหัวและความอ่อนเพลีย
นอกจากนี้ยังมีการวิจัยจากต่างประเทศเชื่อกันว่า แคคตัส หรือ กระบองเพชร นำมาตั้งหน้าคอมพิวเตอร์ สามารถช่วยลดรังสีที่แผ่ออกมาจากคอมพิวเตอร์ได้ อย่างที่ทราบกันอยู่แล้วว่า แสงในหลอดไฟ โทรทัศน์ และคอมพิวเตอร์เมื่อมีการใช้งานนานๆ จะส่งผลต่อสายตา ก่อให้เกิดการระคายเคืองเยื่อบุตาและแสบตาไปจนถึงขั้นปวดศีรษะและอาเจียน โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ ทำให้เกิดโรคต้อกระจกเร็วกว่าเดิม หรือปัญหาประสาทตาเสื่อม
จากการวิจัยพบว่า “ หนาม ” ของแคคตัสหรือกระบองเพชรเป็นสื่อดูดรังสีจากโทรทัศน์และคอมพิวเตอร์ ยิ่งกระบองเพชรที่มีหนามมากก็น่าจะดูดรังสีได้มาก
สำหรับจักษุแพทย์ของไทยกล่าวว่าการที่กระบองเพชรสามารถดูดรังสีได้นั้นน่าจะ เป็นเพชรว่า พืชสีเขียวมีคลอโรฟิลล์รับแสงแดดอยู่แล้วในการปรุงอาหาร ฉะนั้นกระบองเพชรมีสีเขียวมีโอกาสดูดซับรังสีจากคอมพิวเตอร์ได้บางส่วน แทนที่จะกระจายให้ผู้ใช้โดยตรงเท่านั้น
ปัจจุบันนิยมนำมาตั้งหน้าคอมพิวเตอร์กันมากขึ้น บางคนก็นำมาตั้งไว้เพื่อความสวยงามเพราะต้นขนาดเล็กแถมมีประโยชน์อีกด้วย




ศัตรูแคคตัส

ศัตรูแคคตัส


โรครา(โรคเน่า)

          โดยทั่วไปแล้วแคคตัสไม่ค่อยมีโรครบกวนเท่าไหร่  จะมีก็แต่  "โรครา"  หรือ  (โรคเน่า)  นั่นเองครับ  สาเหตุ  อาจจะเกิดจาก  รดน้ำมากเกินไป  อากาศถ่ายเทไม่สะดวก  วัสดุปลูกแน่นเกินไป  อาการต้นช้ำเน่า  มีแผลถลอก  อาจเป็นจุดสีน้ำตาล  ถ้าไม่รีบรักษา  จะทำให้ต้นตายในที่สุดครับ  จะต้องแก้ปัญหาโดยตัดส่วนที่เน่าทิ้งไป  ตัดให้เหนือแผลประมาณ  1-2  นิ้ว  แล้วใช้ยาฆ่าเชื้อราทาแผลบริเวณที่ตัดและบริเวณใกล้เคียงให้ทั่วครับ  วิธีป้องกันก็คือ  รดน้ำให้พอดี  อย่ารดน้ำมากจนเกินไป  คอยดูวัสดุปลูกว่าระบายน้ำดีหรือไม่





  *** ส่วนมากแล้วโรคนี้จะเกิดในช่วงฤดูฝน  ควรวางกระถางแคคตัสให้พ้นน้ำฝน  ถ้าน้ำตกค้างตามต้นในช่วงกลางคืน  จะทำให้เชื้อราเติบโตอย่างเร็ว ***


แมลงศัตรูแคคตัส



เพลี้ยอ่อน  (Aphids)  ตัวของเพลี้ยอ่อน  จะเป็นสีเขียวน้ำตาลปนแดงหรือดำ  เกาะดูดกินน้ำเลี้ยงตามดอกหรือส่วนอ่อนๆของต้น  ต้นจะเจริญเติบโตผิดลักษณะ  แคระแกร็น  การป้องกันทำได้โดยใช้
แปรงเล็กๆ  จุ่มแอลกอฮอล์ปัดออก
          เพลี้ยไฟ  (Thrips)  เป็นแมลงขนาดเล็ก  และเคลื่อนที่รวดเร็ว  จะดูดกินน้ำเลี้ยงส่วนต่างๆของต้น  ทำให้ผิวต้นซีด  เป็นจุดขาวเหลือง 
          เพลี้ยหอย  (Scale  Insect)  แมลงรูปร่างกลมคล้ายหัวเข็มหมุด  อาศัยอยู่บริเวณโคนหนาม  ดูดกินน้ำเลี้ยงส่วนต่างๆของต้น  ทำให้ต้นหยุดชะงักการเจริญเติบโต  การกำจัดได้โดย  แคะออกด้วยไม้จิ้มฟัน
          เพลี้ยแป้ง  (Mealy Bug)  ศัตรูตัวสำคัญของแคคตัส  แมลงขนาดเล็ก  ลำตัวอ่อนนุ่มปกคลุมด้วยไขมันและผงสีขาว  จะอยู่บริเวณที่มองเห็นได้ยาก  เช่นฐานตุ่มหนาม  โคนต้น  ซอกหนาม  และราก  จะดูดกินน้ำเลี้ยงส่วนต่างๆ  ของต้น  ทำให้ต้นชะงักการเจริญเติบโต  หงิกงอ  และตายในที่สุดครับ  ควรเก็บทิ้ง  หรือใช้แอลกอฮอล์เช็ดที่ผิวต้น
          เพลี้ยแป้งที่ราก  (Root Mealy Bug)  จะคล้ายๆ  เพลี้ยแป้ง  อาศัยอยู่ที่ราก  เป็นแมลงที่อันตรายต่อแคคตัสครับ   จะกัดทำลายระบบราก  ต้นจะเหี่ยวเฉา  และตายในที่สุด  ควรเก็บทิ้ง  หรือใช้แอลกอฮอล์เช็ดที่ผิวต้น
          ไรแดง  (Red Spider Mites)  ตัวไรแดงจะสามารถมองเห็นได้ง่าย  จะมองเห็นเป็นจุดเล็กๆ  สีแดง  หรือสีน้ำตาลแห้ง  จะทำให้ต้นหยุดชะงักการเจริญเติบโต  การกำจัดได้โดย  ฉีดน้ำไล่
          หอยทาก  (Snails & Slugs)    จะกัดกินต้นแคคตัส  ให้สังเกต  ถ้ามีรอยสีเงินตามพื้น  หอยทากกำลังจู่โจมแคคตัสของเราอยู่  เฉพาะต้นที่อยู่ที่ร่มและชื้น
          ***  ถ้าหากแมลงศัตรูพืชแพร่ระบาดมากๆ  ก็สามารถใช้สารประเภทดูดซึมฉีดพ่น  กำจัดแมลงได้ครับ ***

สาเหตุและอาการต่างๆของแคคตัส  (Culprit)

           ลำต้นอ่อนนุ่ม  สาเหตุเนื่องมาจากความชื้นสูงเกินไป  อุณหภูมิต่ำ  แก้ไขโดยตัดส่วนที่อ่อนนุ่มทิ้ง  ทายากันเชื้อราบริเวณแผลที่ตัด  ต้องปลูกเลี้ยงในอากาศที่เหมาะสม  อย่ารดน้ำมากจนเกินไป 
           ลำต้นซีดจาง  สาเหตุมาจาก  รากเกิดการเสียหาย  รากเน่าจากการติดเชื้อ  หรือขาดน้ำนานเกินไป  รากฝ่อ  แก้ไขโดยตัดแต่งรากที่เสียหายทิ้ง  และควรเปลี่ยนเครื่องดปลูกใหม่
           ลำต้นเป็นรอยย่น  สาเหตุเป็นเพราะการพัฒนาของแคคตัสบางชนิดอาจขึ้นอยู่กับอายุ
           ลำต้นไม่เจริญเติบโต  สาเหตุเนื่องมาจาก  ให้น้ำมากจนเกินไป  เครื่องปลูกแน่นเกินไป  ระบบรากเน่าเสีย
           ลำต้นหรือใบเหลือง  สาเหตุมาจาก  อาจได้รับความร้อนมากจนเกินไป  ลำต้นแห้ง  ขาดปุ๋ย  รากเน่า
           ต้นมีลักษณะยืดยาวเสียทรง  สาเหตุเนื่องมาจาก  ได้รับแสงสว่างไม่เพียงพอ  อยู่แต่ในร่ม  แก้ไขโดย  ปลูกเลี้ยงในที่ ที่มีแสงสว่างเพียงพอ  70-80 %  เกือบตลอดทั้งวัน
           ออกดอกน้อย  ดอกไม่บาน  สาเหตุ  ได้รับธาตุไนโตรเจนมากจนเกินไป  หรืออาจจะไม่ได้พักตัวในช่วงฤดูหนาว  อายุน้อย  ติดเชื้อ  อุณหภูมิไม่เหมาะสม
           ลำต้นหรือใบเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทั้งๆที่แดดไม่จัด  สาเหตุ  ได้รับธาตุเหล็กไม่เพียงพอ  ดินมีฤทธิ์เป็นด่าง 



วิธีการ ถอนหนามกระบองเพชร (ขนาดใหญ่)





1
ระวังอย่าให้โดนหนามที่ตำอยู่. แม้ว่าเราจะสามารถใช้นิ้วดึงหนามขนาดใหญ่ออกมาได้โดยง่าย แต่บ่อยครั้งเลยที่เราพบว่าหนามขนาดใหญ่มักจะมีขนหนามปลายเงี่ยงเล็กๆ อยู่ที่ตัวหนามอีกด้วย และถ้าคุณเผลอไปจับก็จะโดนขนหนามปลายเงี่ยงนี้ตำเอาได้ และขนหนามพวกนี้เอาออกยากยิ่งกว่าหนามใหญ่ๆ เสียอีก ให้ปล่อยหนามที่ตำอยู่ไว้ก่อน แล้วค่อยใช้เครื่องมือดึงมันออก



2
ใช้แหนบดึงหนามใหญ่ออกมา. ใช้แหนบค่อยๆ หนีบตรงโคนของหนามให้ใกล้กับผิวหนังให้มากที่สุด ค่อยๆ ดึงออกช้าๆ ในทิศทางเดียวกับที่หนามตำลงไป



3
ทำความสะอาดบาดแผล. เพราะหนามแค็กตัสมีขนาดค่อนข้างใหญ่ เมื่อดึงออกมาแล้วมักจะมีรอยแทงเล็กๆ ให้เห็นอยู่ และอาจมีเลือดหรือไม่มีเลือดออกก็ได้ แต่ไม่ว่าจะมีเลือดหรือไม่มีเลือดก็ตาม คุณควรทำความสะอาดบาดแผลเพื่อไม่ให้มีการติดเชื้อในภายหลัง ให้ใช้ไฮโดรเจนเปอร์อ็อกไซด์เทลงบนก้อนสำลีแล้วเช็ดทำความสะอาดบาดแผล หากจำเป็น ให้ปิดแผลด้วยพลาสเตอร์หรือผ้าก๊อซ [3]



วิธีการ ถอนหนามกระบองเพชร (ขนาดเล็ก)



1
ใช้กาว. การใช้กาวถือว่าเป็นวิธีที่ได้ผลมากที่สุดในการถอนขนหนามปลายเงี่ยง ซึ่งจะสามารถดึงหนามออกได้มาก ให้ใช้กาวชนิดที่ใช้ทำงานประดิษฐ์ทาลงบนผิวบริเวณที่โดนหนามให้ทั่ว ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาทีเพื่อให้กาวแห้ง จากนั้นจึงลอกออกช้าๆ หนามที่ตำผิวหนังอยู่จะติดแถบกาวที่ลอกออกมา หากยังมีหนามหลงเหลืออยู่ ให้ทำซ้ำขั้นตอนจนกว่าหนามจะถูกดึงออกมาจนหมด



2
ใช้เทปกาว. นอกจากกาวแล้ว เทปกาวหรือกระดาษกาวก็สามารถนำมาใช้ลอกหนามออกได้เหมือนกัน เพียงแค่ติดเทปกาวที่บริเวณที่โดนหนาม กดเทปกาวให้แนบติดกับผิวหนังและถูเบาๆ เพื่อให้หนามติดกับเทปกาว จากนั้นให้จับที่ปลายด้านหนึ่งของเทปกาวแล้วดึงออกอย่างรวดเร็ว หนามจะถูกดึงติดขึ้นมากับเทปกาว หากยังมีหนามหลงเหลืออยู่ให้ทำซ้ำอีกโดยใช้เทปกาวชิ้นใหม่และทำจนกว่าจะดึงหนามออกมาจนหมด[1]


3
ใช้แหนบ. การใช้แหนบดึงหนามออกอาจจะใช้เวลามากกว่าวิธีอื่นๆ แต่คุณจะสามารถดึงหนามเล็กๆ ที่ยังเห็นว่าติดอยู่ออกมาได้ ให้ทำวิธีนี้ในบริเวณที่มีแสงสว่างเพียงพอ โดยถ้าเป็นแสงธรรมชาติจะดีมาก ถ้ามองไม่ค่อยเห็นให้ใช้แว่นหรือกระจกขยาย ใช้แหนบหนีบให้ใกล้กับโคนของหนามให้มากที่สุดแล้วค่อยๆ ดึงออกจากผิว ใช้แหนบถอนหนามออกร่วมกับวิธีอื่นๆ ที่กล่าวมาก่อนหน้านี้น่าจะเป็นวิธีที่ระคายเคืองน้อยที่สุดและได้ผลมากที่สุด



4
ใช้ถุงน่อง. แม้ว่าวิธีนี้อาจจะไม่สามารถดึงหนามออกได้หมด 100% แต่การใช้ถุงน่องก็เป็นวิธีที่ดีอีกวิธีหนึ่งสำหรับกำจัดหนามที่ติดอยู่ตามผิวหนังและเสื้อผ้าออกได้อย่างรวดเร็ว หาถุงน่องเก่ามาหนึ่งตัว (เอาที่ไม่ใช้แล้วเพราะหลังจากใช้แล้วต้องโยนทิ้งไป) ม้วนถุงน่องให้เป็นก้อนกลมๆ ถูก้อนถุงน่องกับผิวหนังส่วนที่โดนหนามไปมา หนามจะติดกับเส้นใยถุงน่องและถูกดึงออกมาจากผิว เปลี่ยนด้านก้อนถุงน่องถูไปเรื่อยๆ จนกว่าหนามจะหมด



5
ใช้หินขัดเท้า. หากโดนหนามตำบริเวณผิวหนังที่ไม่ละเอียดอ่อนมาก เช่น ที่เท้า คุณสามารถขัดหนามออกโดยใช้หินภูเขาไฟสำหรับขัดเท้า วิธีนี้จะไม่เป็นการถอนหรือดึงหนามออกมา แต่จะทำให้ปลายหนามหักออก ให้ใช้หินขัดเท้าขัดไปมาบริเวณที่โดนหนาม จากนั้นใช้น้ำล้างหนามส่วนที่อาจยังเหลือติดอยู่ออกให้หมด [2]


ความเชื่อผิด ๆเกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงกระบองเพชร

  กระบองเพชร เป็นอีกหนึ่งไม่ประดับที่เป็นที่นิยมนำไปตั้งบนโต๊ะทำงานเพราะมีความเชื่อว่า ต้นกระบองเพชรนั้นสามารถดูดซับรังสีที่ออกมาจากจอคอมได้ และถ้าปลูกต้นกระบองเพชรไว้จะคอยปกป้องคุ้มภัย และให้โชคลาภได้สิ่งเหล่านี้ก็เป็นความเชื่อส่วนบุคคลของแต่ละคน แต่สำหรับความเชื่อผิด ๆในการปลูกและเลี้ยงดูกระบองเพชรที่เราได้ยินมานั้นผิดหลายเรื่องเลย



กระบองเพชรเป็นต้นไม้ที่มีความนิยมในไปปลูกมากเป็นอันดับต้น ๆ
                กระบองเพชร เกิดมีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ตอนใต้และตอนกลางของทวีปอเมริกา และทวีปแอฟริกา ลักาณะของกระบองเพชรเป็นพืชที่ทนแล้งได้ดี ต้องการน้ำบ้างเมื่อดินขาดความชื้นและเป็นต้นไม้ที่ต้องมีการดูแลเอาใจใส่อยู่เสมอ ต้นกระบองเพชรจะเจริญเติบโตงอกงามดีขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลัก ๆก็คือ


กระบองเพชรมีอยู่หลากหลายสายพันธุ์แต่ละสายพันธุ์มีความชอบที่แตกต่างกัน
  1. แสงแดด ในความเชื่อผิดๆที่ทุกคนได้ยินมาก็คือ กระบองเพชร ชอบแดดจัด ๆซึ่งเรื่องนี้ไม่เป็นเรื่องจริงเลยถึงแม้ว่ากระบองเพชรจะเป็นพืชที่ชอบแดดมากและทนความร้อนได้สูง แต่แดดที่เหมาะสมสำหรับกระบองเพชรในบ้านเราก็คือแดดช่วงครึ่งเช้าตั้งแต่ เช้าถึงเที่ยง แต่กระบองเพชรบ้างพันธุ์ก็ชอบอยู่กลางแดดเหมือนกัน ซึ่งผู้เลี้ยงเองควรศึกษาว่ากระบองเพชรที่เราเลี้ยงนั้นมีลักษณะนิสัยอย่างไรด้วย ส่วนมากแล้วฟาร์มที่ทำการเพาะเลี้ยงกระบองเพชรจะติดสแลมที่กรองแดดได้ประมาณ 50 เปอร์เซนต์
  2. น้ำ กระบองเพชรเป็นพืชที่ขาดน้ำไม่ได้ จากความเชื่อผิด ๆว่ากระบองเพชรรดน้ำอาทิตย์ละ 1 ครั้งก็พอ ความเชื่อนี้ผิดถนัดเลย กระบองเพชรเป็นพืชที่ต้องการน้ำน้อยอย่างที่รู้มาแต่ก็ขาดน้ำไม่ได้ เราควรสังเกตที่ดินเป็นหลัก เมื่อดินแห้งดินจะขาดความชื้นทำให้ต้นกระบองเพชรตายได้ สาเหตุที่มีการนำหินเม็ดเล็กมาปิดดินไว้ก็เพื่อกักเก็บความชื้นในดินให้มากที่สุด โดยเราสามารถตรวจเช็คความชื้นในดินได้ด้วยการนำไม้จิ้มฟันหรือไม้ที่มีความยาวเท่ากับกระถางที่ปลูกจิ้มลงไปในดิน ถ้าไม้ที่จิ้มลงไปนั้นยังมีดินเปียก ๆติดมาก็ยังไม่ต้องรดน้ำ แต่ถ้าจิ้มไปแล้วไม่มีดินติดมาเลยหรือไม่เปียกเลยเราควรรดน้ำในทันที การรดน้ำกระบองเพชรต้องมีการเอาใจใส่อย่างมากเพราะถ้ารดน้ำมากเกินไปดินมีความชื้นสูงรากกระบอกเพชรอาจจะเป็นเชื้อราได้ แต่ถ้าน้อยเกินไปกระบองเพชรก็ขาดน้ำตายโดยปัจจัยในการรดน้ำต้นกระบองเพชรนี้เราควรยึดหลักดังต่อไปนี้ แดดน้อย ลมไม่โกรก ดินแน่น ลดน้ำน้อย แต่ถ้าแดดแรง ลมโกรก ดินโปร่ง รดน้ำมาก
  3. ดิน กระบองเพชรชอบดินที่ระบายน้ำได้ดีและก็เก็บกักน้ำได้ดีเช่นกัน ดินที่ใช้ปลูกกระบองเพชรนั้นส่วนมากจะเป็นดินที่มีการผสมวัสดุธรรมชาติอย่าง กากมะพร้าว เศษไม้ ขี้เลื้อยเป็นต้น เพื่อให้ดินระบายน้ำได้ดี ดินที่นำมาผสมควรจะเป็นดินเหนียวบ่นทราย ซึ่งสูตรดินที่ใช้ปลูกกระบองเพชรนั้นไม่มีสูตรที่ตายตัวเราสามารถทดลองนำวัสดุธรรมชาติที่หาได้ในท้องถิ่นมาผสมดินเพื่อหาสูตรสำเร็จในการปลูกต้นกระบองเพชรของเราเอง โดยยึดหลักว่าดินที่มาปลูกกระบองเพชรนั้นต้อง ระบายน้ำได้ดี มีธาตุอาหารเพียงพอต่อต้นกระบองเพชร หาได้แถวบ้านและราคาถูก


5 ปัจจัยในการปลูกกระบอกเพชรมี แสงแดด น้ำ ดิน กระถาง และปุ๋ย
4.ปุ๋ย ถึงแม้ว่ากระป๋องเพชรจะเป็นต้นไม้ที่เกิดขึ้นตามทะเลทรายก็ตาม เราก็ควรที่จะให้ปุ๋ยอย่างสม่ำเสมอ โดยเราจะเน้นการให้ปุ๋ยคอกเป็นอาหารหลัก และเสริมด้วยปุ๋ยเคมี และปุ๋ยน้ำที่ให้ทางใบเป็นอาหารเสริม โดยระยะเวลาที่เหมาะสมในการให้ปุ๋ยนั้นก็ควรอยู่ที่ เดือนละ 1 ถึง 2 ครั้ง
5.กระถาง การหาวัสดุในการปลูกต้นกระบองเพชรก็เหมือนกับต้นไม้ชนิดอื่น ๆเหมือนกันที่เราจะต้องดูขนาดของต้นไม้เป็นสำคัญ สำหรับต้นกระบอกเพชรนั้นกระถางที่ใช้ปลูกควรเป็นกระถางที่พอเหมาะกับต้นกระบองเพชร โดยเราสามารถเปลี่ยนกระถางต้นกระบองเพชรเมื่อโตขึ้นได้ ส่วนมากแล้วจะเปลี่ยนกระถางปีละครั้ง สาเหตุที่จะต้องหากระถางที่มีขนาดพอเหมาะกับต้นกระบองเพชรนั้นก็เนื่องมากจากถ้าเราใช้กระถางใหญ่และต้นกระบองเพชรมีขนาดเล็กเมื่อเรารดน้ำลงไปความชื้นในดินก็จะมีมากเกินไปสำหรับต้นกระบองเพชรทำให้รากของต้นกระบองเพชรเน่าได้เหมือนกัน




การขยายพันธุ์กระบองเพชร

ปลูกต้นกระบองเพชรกันเต๊อะ

ช่วงนี้ซื้อกระบองเพชรต้นเล็กๆ มาเลี้ยงในที่ทำงานได้ซักพัก เลี้ยงมาเรื่อยๆ ชิลๆ และแล้วความยากก็เริ่มเกิดขึ้น
เมื่อมันแต่หน่อออกมา!!!! 


เอาหล่ะสิ ทำไงดีหล่ะ ไม่เป็นไร อากู๋ช่วยท่านได้ คริๆ....การขยายพันธุ์ต้นกระบองเพชร อากู๋ให้มาหลายวิธีเชียวหล่ะ 

แบบที่ 1
การปักชำ เช่นของลิ้นมังกร ให้ตัดเป็นท่อนๆ อย่าลืมทำเครื่องหมายว่าข้างไหนโคนข้างไหนยอดทิ้งไว้ให้ยางแห้ง 1 สัปดาห์ แล้วจึงนำมาปักชำในกระถางโคนนำด้านโคนฝังดิน 


แบบที่ 2
การแยกหน่อ ,แยกกอ สำหรับไม้อวบน้ำทรงพุ่ม เช่น บัวแก้วหรือหน่อกระบองเพชรเล็กๆ ให้แยกออกจากกอใหญ่ ค่อย ๆ ดึงออกแล้วนำไปปลูก รากจะค่อยๆงอกออกมา 


แบบที่ 3
การตัดชำใบ ไม้ประเภทใบคว่ำตายหงายเป็น ให้ตัดโคนใบ พักทิ้งไว้ 2-3 วัน แล้วจึงนำใบนั้นมาเพาะลงกระถางให้งอกเป็นต้นใหญ่ 


แบบที่ 4
วิธีเสียบยอด ต้นกระบองเพชรพันธุ์ที่มีสีสวยงามแต่ไม่แข็งแรงให้ตัดหัวออกด้วยมีดคมๆ สะอาด แล้วฝานบางๆ อีกครั้ง อย่าให้ขาด แล้วเปิดไว้ดังเดิม เพื่อรักษาความชื้นก่อนนำไปเสียบยอด 



แบบที่ 5
เตรียบตอของต้นพันธุ์ที่แข็งแรง ไว้ถ้าต้นที่จะนำมาเสียบเป็นทรงพุ่มกลมให้ตัดตรงถ้าเป็นทรงแบนให้ฝานผ่าเป็นรอยลิ่ม ถ้าเป็นทรงกระบอกให้ฝ่านเฉียง 



แบบที่ 6
นำหัวที่ตัดไว้มาเสียบยอดต้นพันธุ์และต้นตอ ควรมีขนาดที่เท่ากัน อย่าลืมฝานหนามบริเวณที่เสียบออกด้วย ลอกแผ่นที่ทำปิดหัวต้นพันธุ์ไว้ยอด รีบนำไปเสียบต่อกับต้นตอที่เตรียมไว้ทันทีแล้วใช้เชือกฟางหรือหนังสติ๊กรัดไว้กันหลุด 










5 สายพันธุ์กระบองเพชรน่ารัก



กระบองเพชร (Cactus) และไม้อวบน้ำ (Succulents) กำลังเป็นที่นิยมในหมู่สาว ๆ และชาวฮิปสเตอร์ เนื่องจากเป็นไม้ที่ใช้พื้นที่น้อยในการปลูก สอดคล้องกับวิถีการใช้ชีวิตของคนเมืองที่มีข้อจำกัดด้านพื้นที่อยู่อาศัย และไม่จำเป็นต้องใช้เวลาในการบำรุงและดูแลมาก วันนี้ เราจึงมีกระบองเพชรและไม้อวบน้ำ 5 สายพันธุ์ยอดนิยมที่มีหน้าตาน่ารักมาฝาก เห็นแล้วเชื่อว่าสาว ๆ ต้องหลงรักอย่างแน่นอน

1.แมมมิลลาเรีย (Mammillaria) หนึ่งในไม้ตลาดแนะนำที่มีชื่อเล่นน่ารัก ๆ อย่าง "แมม" แคคตัสยอดนิยมที่มีสายพันธุ์มากกว่า 400 ชนิด ที่เลี้ยงง่าย โตไว ออกดอกสม่ำเสมอ แถมราคาไม่แพง ถือเป็นกระบองเพชรขวัญใจสาว ๆ ด้วยลักษณะโดดเด่นของแคคตัสสายพันธุ์นี้ คือ มีปุยขนปกคลุมรอบต้น พร้อมด้วยดอกขนาดเล็กสีสวยหวานผลิเป็นวงตรงยอดต้น พันธุ์ที่นิยมปลูกกัน ได้แก่ แมมขนนก แมมขนนกเหลือง แมมขนแกะ หรือ แมมขนแมว และแมมนกฮูก


2.ยิมโน (Gymnocalycium mihanovichii) กระบองเพชรเจ้าเสน่ห์ที่ใครๆ ต่างหลงรัก โดยเฉพาะสาวกกระบองเพชรที่กำลังมองหาสายพันธุ์ที่ออกดอกง่าย ออกดอกบ่อย และมีดอกที่อวดโฉมขนาดใหญ่ และบานอยู่ทนหลายวัน ในขณะที่สีสันของต้นก็มีหลากหลายให้เลือกตามชอบใจอีกด้วย

3.แอสโตรไฟตัม (Astrophytum) อีกหนึ่งไม้กระบองเพชรยอดนิยมที่มีจุดขายอยู่ที่รูปร่างลำต้นที่คล้ายกับรูปดาว และแตกต่างจากแคคตัสสกุลอื่นๆ คือ ลายปะจุดสีขาวที่กระจายอยู่ทั่วไปตามลำต้นในปัจจุบันสามารถจัดแบ่งตามลักษณะของลำต้นและหนามที่แตกต่างกันออกไปได้เป็น6 - 7 ชนิด อาทิ แซนด์ หรือ แซนด์ดอลลาร์ และมาริโอ้

4.ฮาโวเทีย (Haworthia) ไม้อวบน้ำที่มีรูปทรงหลากหลายและแปลกตา ที่เราจะสะดุดตากับลวดลายบนใบที่แตกต่าง พร้อมเสน่ห์เฉพาะตัวที่ความโปร่งใสของใบ อาทิ ฮาโวเทีย ม้าตัด ฮาโวเทีย ม้าลาย ม้าสาคู หรือ ม้าโดนัท  ฮาโวเทีย บัวแก้ว และฮาโวเทีย หยดน้ำ

5.กุหลาบหิน (Echeveria) ไม้อวบน้ำที่มีรูปทรงเหมือนกับดอกกุหลาบ โดยมีกลีบใบที่อัดเเน่นซ้อนกันเป็นชั้นๆ ดูเผินๆ รูปทรงคล้ายกับดอกกุหลาบจริง แต่เมื่อสัมผัสจะรู้สึกแข็ง ไม่อ่อนนุ่ม ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ "กุหลาบหิน"





ดูแลกระบองเพชรน้อยง่ายๆ ด้วย 3 วิธี


หลายคนคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่าถ้าปลูกแล้วตาย ไม้อย่างอื่นก็คงเลี้ยงไม่ได้ แต่ถ้าปลูกแล้วดูแลไม่เป็น การที่กระบองเพชรจะตายก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้เหมือนกัน ถ้าหากไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นมาดูเทคนิคการดูแลไม้อวบน้ำเหล่านี้ให้เติบโตอย่างสวยงามกันดีกว่า

Cactus และ Succulent เป็นไม้อวบน้ำ มีใบหนา ลำต้นอวบไปด้วยน้ำจนแทบไม่มีเนื้อไม้ ส่วนต่างๆ ของลำต้น  ใบ ประกอบไปด้วยน้ำเป็นส่วนมาก ซึ่งมีวิธีง่ายๆ เพียง 3 เรื่อง ที่จะทำให้แคคตัสสวยงามดั่งใจ...


1. การรดน้ำ วิธีการลดน้ำที่ถูกต้องคือต้องรดให้โชกถึงราก และรดครั้งต่อไปเมื่อดินเริ่มแห้ง ระวังอย่าให้น้ำขังหรือดินแฉะ แคคตัสอาจเน่าหรือเป็นโรคตายได้ต้องรู้ไว้ก่อนว่าแคคตัสแต่ละพันธุ์มีความต้องการปริมาณน้ำและความถี่ในการรดน้ำต่างกันไป จึงมีวิธีทดสอบง่ายๆ โดยการปักไม้แห้งเล็กๆ ลงไปให้ลึกถึงโคนกระถางในวันที่รดน้ำ เมื่อนับระยะเวลาจากวันที่รดน้ำวันแรกจนถึงวันที่ไม้ปักแห้ง ก็จะได้ช่วงเวลาในการลดน้ำที่เหมาะสม



2. แสงแดดและอุณหภูมิ ช่วงแดดที่เหมาะสมกับแคคตัสนั้นเป็นช่วงเช้าหรือช่วงบ่ายที่แดดไม่ร้อนมาก นัก ถ้าได้รับแสงมากเกินไปต้นไม้จะแห้งเป็นสีน้ำตาล ดังนั้นต้องใส่ใจเรื่องร่มเงาหรือพรางแสงให้เหลือประมาณ 70-80% แคคตัสส่วนใหญ่เป็นพืชเมืองร้อนอยู่แล้ว ในเมืองไทยจึงสามารถเลี้ยงแคคตัสได้ดีในเกือบทุกฤดูในอุณหภูมิราว 27-32 องศาเซลเซียส




3. ธาตุอาหารหรือปุ๋ย ส่วนมากนิยมใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ เพราะมีสูตรให้เลือกมากมาย ซึ่งทำให้เกิดชนิดและปริมาณธาตุอาหารได้ง่าย ปริมาณการให้ขึ้นอยู่กับความต้องการของแคคตัสแต่ละพันธุ์ ขนาดต้น รวมทั้งสภาพแวดล้อมในการปลูก แต่ต้องระมัดระวังไม่ให้ปุ๋ยเข้มข้นจนเกินไป